บทความ >> ระบบ Disk RAID คืออะไร❓ มีประโยชน์กับ Server อย่างไร❓
   
 
ระบบ Disk RAID คืออะไร❓ มีประโยชน์กับ Server อย่างไร❓

RAID (Redundant Array of Independent/Inexpensive Disks) คือเทคโนโลยีที่ใช้รวมฮาร์ดดิสก์หลายลูกเข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ (Performance), ความทนทาน (Reliability) และ ความปลอดภัยของข้อมูล (Data Protection) โดยมีการทำงานหลายรูปแบบตามโหมด RAID ที่เลือกใช้

ประโยชน์ของ RAID กับ Server

  1. ป้องกันข้อมูลสูญหาย – RAID สามารถช่วยป้องกันข้อมูลสูญหายในกรณีที่ฮาร์ดดิสก์บางลูกเสีย
  2. เพิ่มความเร็วในการอ่าน/เขียนข้อมูล – RAID สามารถกระจายข้อมูลไปยังหลายดิสก์ ทำให้การอ่าน/เขียนเร็วขึ้น
  3. เพิ่มความจุของ Storage – RAID สามารถรวมพื้นที่ของหลายดิสก์เข้าด้วยกัน
  4. รองรับการทำงานของ Server ได้ดีขึ้น – Server ที่ต้องการความเสถียรและความเร็วสูง มักใช้ RAID เพื่อช่วยให้ทำงานต่อเนื่องแม้ดิสก์บางลูกเสีย

ประเภทของ RAID ที่นิยมใช้

การทำงานของ RAID 0 (Striping)

  • นำฮาร์ดดิสก์ตั้งแต่ 2 ลูกขึ้นไปมารวมกัน
  • กระจายข้อมูลไปยังทุกดิสก์ที่มี (ไม่มีการสำรองข้อมูล)

ข้อดีของ RAID 0
✅ อ่าน/เขียนเร็วขึ้นมาก เพราะใช้ดิสก์หลายตัวทำงานพร้อมกัน
✅ ใช้พื้นที่ได้เต็ม 100%

ข้อเสียของ RAID 0
❌ ถ้าดิสก์เสียแม้แต่ลูกเดียว ข้อมูลทั้งหมดหายหมดทันที
❌ ไม่มีความปลอดภัยของข้อมูล

RAID 0 ใช้กับงานที่ต้องการความเร็วสูง เช่น การตัดต่อวิดีโอ หรือ Cache Storage

การทำงานของ RAID 1 (Mirroring)

  • ใช้ฮาร์ดดิสก์อย่างน้อย 2 ลูก
  • ดิสก์ทุกลูกจะมีข้อมูลเหมือนกัน 100% (สำเนากันแบบ Mirror)

ข้อดีของ RAID 1
✅ ถ้าดิสก์ลูกหนึ่งเสีย ข้อมูลยังอยู่ในอีกลูกหนึ่ง
✅ ป้องกันข้อมูลสูญหายได้ดี

ข้อเสียของ RAID 1
❌ ใช้พื้นที่เพียงครึ่งเดียว เพราะต้องทำสำเนา
❌ ความเร็วไม่เพิ่มขึ้น หรืออาจเร็วขึ้นเล็กน้อยตอนอ่านข้อมูล

RAID 1 ใช้กับงาน Server ที่ต้องการความปลอดภัยของข้อมูล เช่น ฐานข้อมูล, Web Server

RAID 5 (Striping with Parity)

  • ใช้ดิสก์อย่างน้อย 3 ลูกขึ้นไป
  • กระจายข้อมูลและสร้าง Parity เพื่อกู้คืนข้อมูลในกรณีที่ดิสก์เสีย

ข้อดีของ RAID 5
✅ เร็วขึ้นกว่าปกติ (แต่ไม่เท่า RAID 0)
✅ หากดิสก์เสีย 1 ลูก ระบบยังคงทำงานได้
✅ ใช้พื้นที่ได้มากกว่า RAID 1

ข้อเสียของ RAID 5
❌ ถ้าดิสก์เสียเกิน 1 ลูก ข้อมูลทั้งหมดหาย
❌ เขียนข้อมูลช้ากว่า RAID 0 และ RAID 1 เพราะต้องคำนวณ Parity

RAID 5 ใช้กับงาน Server ที่ต้องการทั้งความเร็วและความปลอดภัย เช่น File Server, Database Server

RAID 6 (Striping with Double Parity)

RAID 6 เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ การกระจายข้อมูล (Striping) พร้อมกับการใช้ Parity 2 ชุด เพื่อป้องกันข้อมูลสูญหาย โดย RAID 6 มีความคล้ายกับ RAID 5 แต่เพิ่มความปลอดภัยขึ้นมาอีกระดับ

  • ต้องใช้ฮาร์ดดิสก์อย่างน้อย 4 ลูกขึ้นไป
  • สามารถทนทานต่อความเสียหายของดิสก์ได้ถึง 2 ลูกพร้อมกัน

การทำงานของ RAID 6

  1. กระจายข้อมูลแบบ Striping – RAID 6 จะกระจายข้อมูลออกไปยังดิสก์ทั้งหมดเหมือนกับ RAID 5
  2. สร้าง Parity 2 ชุด – ข้อมูล Parity จะถูกคำนวณและกระจายไปยังดิสก์ต่าง ๆ เพื่อช่วยกู้คืนข้อมูลเมื่อดิสก์เสีย
  3. อ่านข้อมูลได้เร็วขึ้น – เพราะสามารถอ่านจากหลายดิสก์พร้อมกัน
  4. เขียนข้อมูลช้ากว่า RAID 5 – เนื่องจากต้องคำนวณ Parity 2 ชุด ทำให้การเขียนข้อมูลช้ากว่า RAID 5

ข้อดีของ RAID 6
✅ ทนทานต่อความเสียหายมากกว่า RAID 5 – ดิสก์เสียได้ถึง 2 ลูก โดยข้อมูลยังอยู่ครบ
✅ อ่านข้อมูลได้เร็ว – เพราะสามารถดึงข้อมูลจากหลายดิสก์พร้อมกัน
✅ เหมาะสำหรับระบบที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น ระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่

ข้อเสียของ RAID 6
❌ เขียนข้อมูลช้ากว่า RAID 5 – เพราะต้องคำนวณและเขียน Parity 2 ชุด
❌ ใช้พื้นที่มากขึ้น – เนื่องจากต้องใช้ Parity 2 ชุด ทำให้เสียพื้นที่ไปเยอะ (อย่างน้อย 2 ดิสก์)
❌ ต้องใช้ฮาร์ดแวร์ที่รองรับ RAID 6 – ควรใช้ RAID Controller ที่มีประสิทธิภาพสูงเพื่อเพิ่มความเร็วในการทำงาน
RAID 6 ใช้กับงาน Server ที่ต้องการความปลอดภัยของข้อมูลสูง และระบบที่ต้องทำงานต่อเนื่อง แม้ดิสก์เสียหลายลูก เช่น Big Data, Cloud Storage, Enterprise Server

สรุปสุดท้าย

🔹 RAID ช่วยป้องกันข้อมูลสูญหาย – ลดความเสี่ยงจากฮาร์ดดิสก์เสีย
🔹 RAID เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน – ช่วยให้ Server ทำงานได้เร็วขึ้น
🔹 RAID ทำให้ Server เสถียรขึ้น – ลดโอกาสที่ระบบจะล่ม

การเลือกใช้ RAID ขึ้นอยู่กับว่า ต้องการความเร็ว (RAID 0), ความปลอดภัย (RAID 1), หรือทั้งความเร็วและความปลอดภัย (RAID 5, RAID 6) ถ้าเป็น Server ที่สำคัญมาก และ ต้องทำงานต่อเนื่องแม้ดิสก์เสีย ควรใช้ RAID 5 หรือ RAID 6 ร่วมกับความสามารถแบบ Hot Spare ของระบบ Disk RAID‼